ปกเว็บไซต์ สำนักวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ดิน

เรียนรู้ดินจากพื้นที่จริง เชื่อมโยงสู่การวิเคราะห์ดินในห้องปฏิบัติการ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วย


date 24 ก.ย. 2568    8   
สวด. ลงพื้นที่ภาคสนาม เรียนรู้ดินจากพื้นที่จริง เชื่อมโยงสู่การวิเคราะห์ดินในห้องปฏิบัติการ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี
🎯🔹️ดร.ปิ่นเพชร ดีล้อม ผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ดิน นำทีมผู้เชี่ยวชาญ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการและเจ้าหน้าที่ สวด.เข้าร่วมเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ ชุดดินหุบกะพง การจำแนกชั้นดินในหลุมดิน การใช้เครื่องมือภาคสนาม และการเชื่อมโยงกับผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ โดยมีทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก สพข.10 (นายอภิเชษฐ ทองส่ง ผู้อำนวยการกลุ่มวางแผนการใช้ที่ดิน นายเมธา ศรีทองคำ และคณะ) ถ่ายทอดทั้งความรู้และประสบการณ์ตรงจากพื้นที่จริง
✨ การประชุมนอกสถานที่ครั้งนี้ นอกจากจะเพิ่มพูนทักษะวิทยาศาสตร์ดินแล้ว ยังช่วยสร้างความเข้าใจดินในเชิงพื้นที่ และเสริมสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ดิน สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ดินอย่างยั่งยืน
🙏สวด.ขอขอบพระคุณ นายคำนึง แสงขำ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 10 ที่ได้อำนวยความสะดวกในการศึกษางานภาคสนาม เอื้อเฟื้อสถานที่และทีมวิทยากร จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินราชบุรี ผู้อำนวยการกลุ่มวางแผนการใช้ที่ดิน และทีมวิทยากร 🔸️
🌏🎄ชุดดินหุบกะพง (Hup Kaphong series, Hg) เป็นชุดดินสำคัญที่พบมากในพื้นที่อำเภอชะอำและหัวหิน จังหวัดเพชรบุรี โดยเฉพาะบริเวณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ จุดเด่นและหน้าตัดดินของหลุมดินนี้ เป็นดินคล้าย (variant) ชุดดินหุบกระพง ที่พบชั้นดานภายในหน้าตัด มีปฏิกิริยาดิน pH 6.5-8.0
ข้อมูลทั่วไป
จุดเด่นของชุดดินหุบกะพง
🏞 วัตถุต้นกำเนิดดิน : ตะกอนน้ำของวัสดุที่สลายตัวและถูกเคลื่อนย้ายมาจากหินไมกาไนส์ หินไมกาชีสต์ หรือหินแกรนิต
ทำให้ดินมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทรายถึงทรายจัด ระบายน้ำได้ดี
🌞 พื้นที่เป็นที่ราบคลื่นลอนลาด (undulating terrain)
มักพบทางตะวันตกของเพชรบุรีต่อเนื่องถึงหัวหิน
⚗️ มีค่า pH ค่อนข้างสูง เนื่องจากมี แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO₃) สะสมในดิน
🌱 เหมาะสำหรับพืชไร่-ไม้ผลบางชนิด
เช่น สับปะรด มะม่วง ขนุน และพืชที่ทนต่อดินทรายและดินด่าง
🔺️ หน้าตัดดิน (Soil Profile)
โดยทั่วไปชุดดินหุบกะพงมีลักษณะดังนี้
• ชั้นบน (Topsoil) : ดินร่วนปนทราย สีเทาอมน้ำตาลถึงน้ำตาลอ่อน ระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
• ชั้นล่าง (Subsoil) : ทรายหยาบถึงทรายปนกรวด มีการสะสม CaCO₃ บางบริเวณเป็นชั้นขาวปน (calcareous layer)
• ความลึกของหน้าตัด : มากกว่า 150 เซนติเมตร ดินลึกถึงลึกมาก ไม่ค่อยมีหินกรวด
• คุณสมบัติเด่น : ความสามารถอุ้มน้ำต่ำ ทำให้ดินแห้งเร็ว และต้องการการจัดการน้ำที่เหมาะสม
ประเด็นการจัดการ
• จำเป็นต้อง เพิ่มอินทรียวัตถุ เพื่อช่วยอุ้มน้ำและปรับปรุงโครงสร้างดิน
• ใช้ การปลูกพืชคลุมดินหรือปุ๋ยพืชสด เพื่อลดการสูญเสียความชื้น
• ในพื้นที่ที่มี pH สูง ควรระวังการขาดธาตุอาหารจุลธาตุ (Fe, Zn, Mn) และอาจต้องเสริมด้วยการพ่นทางใบ
สรุปคือ ชุดดินหุบกะพง เป็นดินทรายจัด ด่าง มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่ถ้าบริหารจัดการดี โดยเฉพาะเรื่องอินทรียวัตถุและน้ำ ก็สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างเหมาะสม 🌿
สำหรับ ชุดดินหุบกะพง ซึ่งเป็น ดินร่วนปนทราย–ทรายจัด มี CaCO₃ สูง และ pH ค่อนข้างด่าง การวิเคราะห์ทางเคมีดินควรเน้นค่าที่สะท้อน ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ + ปัญหาการละลายธาตุอาหาร ค่ะ
🔑 ค่าวิเคราะห์ทางเคมีดินที่สำคัญสำหรับชุดดินหุบกะพง
• pH ดิน
• ส่วนใหญ่มีค่า pH สูง (ด่าง) จากการสะสมแคลเซียมคาร์บอเนต
• สำคัญต่อการละลายธาตุอาหาร โดยเฉพาะจุลธาตุ (Fe, Zn, Mn, Cu) ที่มักขาด
• Organic Matter (OM) / Organic Carbon (OC)
• ดินทรายจัด มักมีอินทรียวัตถุต่ำ → ส่งผลต่อความสามารถอุ้มน้ำและยึดธาตุอาหาร
• การวัด OM จึงช่วยประเมินความจำเป็นในการปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก
• Cation Exchange Capacity (CEC) และ Base Saturation
• ดินเนื้อทราย CEC มักต่ำ → เก็บธาตุอาหารไม่ได้มาก
• แต่ Base saturation มักสูง (Ca, Mg มาก) → จึงควรประเมินสมดุลธาตุอาหาร
• ธาตุอาหารหลัก (Available nutrients)
• N: มักขาดง่ายเพราะชะล้างสูงในดินทราย
• P: อาจจับกับ CaCO₃ ทำให้พืชดูดใช้ยาก → ต้องประเมิน Available P (เช่น Olsen P)
• K: แม้ไม่ถูกตรึงมาก แต่ CEC ต่ำทำให้ K สูญเสียง่าย
• ธาตุอาหารรองและจุลธาตุ (Ca, Mg, S, Fe, Zn, Mn, B)
• ควรตรวจ Ca, Mg เพราะแม้จะมีมากจาก CaCO₃ แต่ความสมดุลกับ K สำคัญ
• จุลธาตุ (Fe, Zn, Mn, B) มักขาดในดินด่าง → การวิเคราะห์ช่วยในการวางแผนใส่เสริม
• Electrical Conductivity (EC)
• ใช้ดูค่าความเค็มดิน (salinity) แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เค็ม แต่บางจุดอาจมีปัญหาสะสมเกลือได้
⭐📢นอกจากนี้ Base Saturation (%) เป็นค่าที่ ควรวัด สำหรับชุดดินหุบกะพงด้วยค่ะ เพราะดินชุดนี้มี CaCO₃ สูง → pH ด่าง → แลกเปลี่ยน (Ca²⁺, Mg²⁺, K⁺, Na⁺) มักมีพื้นที่แลกเปลี่ยนดินเกือบทั้งหมด
💡 เหตุผลที่ควรตรวจ Base Saturation
• สะท้อนความสมดุลของธาตุอาหาร
• ถึงแม้ดินมี Ca, Mg สูง แต่ถ้า Ca มีมากเกินไป จะไปกดการดูดใช้ K และ Mg ของพืช (Ca/K ratio, Ca/Mg ratio ไม่สมดุล)
• ถ้า Na สูง → อาจเสี่ยงปัญหาดินโซดิก (แม้ EC ต่ำก็ตาม)
• สัมพันธ์กับค่า CEC
• ชุดดินหุบกะพงมี CEC ต่ำ (เพราะเป็นดินทราย) → ทำให้แม้ Base Saturation สูง แต่การเก็บธาตุอาหารจริง ๆ ก็น้อย
• เช่น CEC = 5 cmol(+)/kg, Base Sat. 90% → จริง ๆ ก็ยังมีค่า exchangeable nutrient น้อยเมื่อเทียบกับดินเหนียว
• ช่วยประเมินการปรับปรุงดิน
• ถ้า Base Saturation สูงเกิน (Ca, Mg, Na ครองมาก) → ควรใส่อินทรียวัตถุหรือปุ๋ยพืชสด เพื่อเพิ่มการจับยึดธาตุ NPK และเพิ่มจุลธาตุ
• ถ้า Na % exchangeable สูง → ต้องเฝ้าระวังโครงสร้างดินเสื่อม (แม้ไม่ใช่ดินเค็มชัดเจนก็ตาม)
✅ สรุป
ถ้าวิเคราะห์ ชุดดินหุบกะพง ควรเน้น
• pH, OM/OC, CEC, Base saturation
• Available N, P, K
• Ca, Mg และจุลธาตุ (Fe, Zn, Mn, B)
• EC (เฝ้าระวังความเค็ม)
เพื่อให้รู้ทั้ง ข้อจำกัด (ดินด่าง, OM ต่ำ, CEC ต่ำ) และ ศักยภาพ (Ca, Mg สูง, ระบายน้ำดี) ที่มีผลต่อการปลูกพืชค่ะ 🌱
สำหรับ ชุดดินหุบกะพง (Hg) นอกจากค่าหลัก (pH, OM, CEC, NPK, จุลธาตุ, EC) แล้ว
➡️ ควรตรวจ Base Saturation (%) ด้วย เพื่อดู สมดุล Ca-Mg-K-Na ที่มีผลต่อการใช้ประโยชน์และการปรับปรุงดิน